สศก. ระบุ ไตรมาส 3 ปีนี้ จีดีพีเกษตรฟุบ หดตัว 1.8% เหตุอากาศแปรปรวน ฉุดสาขาพืช-ประมง ติดลบ ขณะแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 65 คาดขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 3.0
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 3 ปี 2565 (เดือนกรกฎาคม – กันยายน) หดตัวร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 หลังจากขยายตัวได้ดีในไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมา โดยขยายตัวร้อยละ 4.7 และ 4.4 ตามลำดับ
เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ประกอบกับปรากฏการณ์ลานีญาที่มีกำลังแรงขึ้น อิทธิพลของลมมรสุมและพายุที่เข้ามาหลายระลอก ขณะที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติสะสมอยู่มาก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตสินค้าเกษตร และผลผลิตบางส่วนได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมการผลิต การค้า การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยว กลับมาดำเนินการได้ตามปกติมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดยังอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ และดูแลเอาใจใส่ดีขึ้น
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายและมาตรการด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และการขยายช่องทางการตลาด ทำให้เกษตรกรสามารถทำการผลิตได้อย่างต่อเนื่องและมีช่องทางในการจำหน่ายมากขึ้น
แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 3.0 เมื่อเทียบกับปี 2564 จากปัจจัยสนับสนุนด้านสภาพอากาศโดยทั่วไปที่ยังคงเอื้ออำนวย ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและตามแหล่งน้ำธรรมชาติมีมากกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ ในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีในการผลิต ยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐาน บริหารจัดการการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการเปิดประเทศ ทำให้มีการเดินทางและขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเกษตร ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ปรากฏการณ์ลานีญาที่อาจจะต่อเนื่องไปถึงต้นปี 2566 ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตามราคาปัจจัยการผลิตทั้งราคาน้ำมัน ปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช และอาหารสัตว์ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว
ดร.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการ สศก. กล่าวในรายละเอียดของแต่ละสาขาในไตรมาส 3 ว่า สาขาพืช หดตัวร้อยละ 2.8 โดยพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกอ้อยที่มีราคาดี และพื้นที่ที่มีการปลูกซ่อมใหม่บางส่วนหลังประสบอุทกภัยในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2564 ยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ รวมทั้งหลายพื้นที่ยังต้องเผชิญกับฝนที่ตกหนักและการระบาดของโรคใบด่าง
สับปะรดโรงงาน เนื่องจากเกษตรกรมีการบำรุงต้นสับปะรดเพื่อเร่งให้ผลผลิตออกในช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 จากราคาที่จูงใจในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สับปะรดที่จะให้ผลผลิตในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2565 มีปริมาณลดลง
ยางพารา ผลผลิตลดลง เนื่องจากมีฝนตกชุกต่อเนื่อง ทำให้จำนวนวันกรีดยางลดลง และยังมีการระบาดของโรคใบร่วงยางพาราในบางพื้นที่ของภาคใต้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำยางที่กรีดได้ในแต่ละเดือนน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทุเรียน และมังคุด ผลผลิตลดลง เนื่องจากสภาพอากาศทางภาคใต้ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญในไตรมาสนี้ไม่เอื้ออำนวย มีอากาศร้อนสลับกับฝนตกชุก ทำให้ทุเรียนและมังคุดที่จะออกดอกแตกใบอ่อนแทน ส่วนดอกที่ออกแล้วและผลอ่อนบางส่วนยังถูกฝนชะร่วงหล่น
เงาะ ผลผลิตลดลง เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปปลูกพืชอื่น เช่น ทุเรียน และปาล์มน้ำมัน รวมทั้งมีฝนตกชุกในช่วงออกดอก ทำให้ติดผลน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
สำหรับพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปี โดยในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นฤดูที่ข้าวนาปีออกสู่ตลาด ซึ่งผลผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และตามแหล่งน้ำธรรมชาติมีมากเพียงพอ เกษตรกรจึงขยายการเพาะปลูกในพื้นที่ว่าง ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกข้าว อย่างไรก็ตาม ผลผลิตข้าวนาปีที่เก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนกันยายน 2565 บางส่วนได้รับผลกระทบจากอุทกภัยแต่ไม่รุนแรงมากนัก
ข้าวนาปรัง ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากแหล่งผลิตทางภาคใต้เป็นหลัก เนื่องจากปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นและเพียงพอ และเกษตรกรบางส่วนขยายการเพาะปลูกในพื้นที่นาปรังเดิมที่เคยปล่อยว่าง
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2565 ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น และมีการควบคุมโรคและแมลงได้ดี
ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในแหล่งผลิตสำคัญ ทำให้ทะลายปาล์มมีความสมบูรณ์ดี จำนวนผลต่อทะลายและน้ำหนักทะลายเพิ่มขึ้น อีกทั้งมาตรการเร่งการส่งออกของอินโดนีเซีย ส่งผลให้เกษตรกรกังวลว่าราคาจะลดลง จึงเร่งตัดผลผลิต
และลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้น สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกผลของลำไย รวมถึงไม่มีโรคและแมลงระบาด ทำให้ต้นลำไยติดผลดี
สาขาปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 1.7 เป็นผลจากความต้องการบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่มีมากขึ้นหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
ไก่เนื้อ มีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
และโคเนื้อ ผลผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากเกษตรกรมีการควบคุมและป้องกันโรคระบาดอย่างเข้มงวด ภาครัฐมีการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคลัมปีสกินในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น ประกอบกับเกษตรกรมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น
ข่าวแนะนำ : การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว